ใครอยากเป็นแม่ค้าฟังทางนี้ !!! คัมภีร์ขายออนไลน์บทที 1 เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่งด้วย เผยอาวุธลับสุดยอดที่ทำให้ร้านคุณปังเหมือนมือโปร นั่นก็คือ “ระบบหลังบ้าน”

อยากเป็นแม่ค้าออนไลน์ เริ่มต้นยังไงดี

ตลาดออนไลน์ในไทยที่ร้อนแรงอยู่ตอนนี้ เรียกได้ว่าไทยแลนด์ของเรามาแรงแซงเป็นอันดับต้นๆของโลกเลยทีเดียว ขนาดต่างชาติก็ยังอยากเข้ามาขายของในตลาดออนไลน์บ้านเรา แต่ใครจะไปรู้จักตลาดไทยดีเท่าคนไทยเองหละคะ แม่ค้าพ่อค้าชาวไทยอย่าไปกลัว วันนี้ Goship มีเคล็ดลับดีๆสำหรับคนที่อยากบุกตลาดออนไลน์มาให้ได้เรียนรู้กันนะคะ 

ก่อนที่จะไปเปิดร้านขายของเราต้องทำความเข้าใจตลาดออนไลน์ก่อนนะคะเพื่อจะได้รู้ว่าเข้าไปแล้วเราจะเจออะไรบ้าง จะได้หาวิธีขายให้ปัง ลดความพังความบ้ง ปิดตายประตูเจ๋งกันก่อน

ข้อดีของตลาดออนไลน์เลยก็คือ ต้นทุนการขายต่ำ เพราะไม่ต้องมีหน้าร้านก็ขายได้ ไม่ต้องเดินทางไปพบลูกค้าเพราะทุกอย่างอยู่บนออนไลน์สามารถทำงานได้ทุกที่ และยังสามารถทำงานคนเดียวได้ถ้าเป็นร้านเล็กก็ไม่ต้องมีลูกจ้าง มีเครื่องมือรายงานสถิติมากมาย ทำให้เราขายตรงกลุ่มเป้าหมาย ลูกค้าซื้อของหรือดูสินค้าเราได้ตลอดเวลา เหมือนเราเปิดร้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องมีสต็อกสินค้าก็สร้างร้านได้ และยังช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าให้ธุรกิจออฟไลน์

ข้อเสียก็มีค่ะ จำตรงนี้ให้ดีๆเลยนะคะ ตลาดนี้การแข่งขันสูงมากๆ ผู้ขายจะโดนตัดราคาได้ง่ายง่าย ผู้ซื้อและผู้ขายจะจำกัดเฉพาะผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการเข้าถึงตลาดบนออนไลน์ ขายของคล้ายกันหลายร้านค้นเจอยากมีค่าใช้จ่ายดูแลและออกแบบหน้าเว็บหรือช่องทางการขายรวมถึงสื่อต่างๆเพื่อโปรโมทร้านให้สวยงาม เสี่ยงต่อการถูกแฮกหรือแจ้งสแปม หรือถูกทำให้เสียชื่อเสียงทำให้ร้านโดนปิดได้ง่าย สินค้าจับต้องไม่ได้แสดงแต่รูปสินค้าเท่านั้นมีระยะเวลารอจัดส่งสินค้าลูกค้าอาจต้องเสียค่าจัดส่งเพิ่ม

เตรียมตัวเป็น “แม่ค้าออนไลน์” เมื่อเข้าใจตลาดออนไลน์แล้วเราก็มาเตรียมตัวเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์กันเลยค่ะ

  1. กำหนดงบลงทุน และเลือกสินค้าที่จะขาย

งบลงทุน เป็นสิ่งแรกที่ต้องวางแผนงบการขายสินค้า เพราะจะเป็นตัวกำหนดกรอบวงเงินให้กับร้านค้าของเรา ป้องกันงบบานปลาย จากนั้นก็ต้องหาสินค้ามาขายควรเริ่มต้นจากความชอบของผู้ค้า และเช็คความต้องการของลูกค้าในตลาดด้วย ควรลงพื้นที่สำรวจสินค้า เพื่อให้ได้สินค้าที่ดีตรงกับความต้องการมากที่สุด 

  1. ช่องทางการขาย เลือกให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย

ช่องทางการขายสินค้าออนไลน์มีหลากหลาย เช่น ขายบน เว็บไซต์ ที่เปิดใหม่ขึ้นเอง หรือขายผ่านแพลทฟอร์ม e-Marketplace เช่น Shopee, Lazada ก็สะดวกง่ายดาย หรือจะขายผ่าน Social Commerce อย่าง Facebook, IG, Line TikTok ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน แต่ก็อย่าลืมศึกษาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และการเข้าถึงของลูกค้า เพื่อที่จะได้เลือกช่องทางการขายได้ตรงกับการใช้งานกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด

  1. ทำการตลาดบนโซเชียลมีเดีย

ต้องให้ความสำคัญกับการตลาดออนไลน์หรือการโปรโมทร้านค้าบนสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, TikTok, Twitter, Instagram, Line หรือ YouTube เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางการขายและการตลาด สื่อเหล่านี้สามารถเข้าถึงคนจำนวนมากได้ง่ายและรวดเร็ว ผู้ซื้อและผู้ขายโต้ตอบกันได้ทันที ช่วยประหยัดต้นทุนการโปรโมทได้มาก

  1. บริหารจัดการ “เวลา” ให้ดี

ก่อนจะเริ่มขายออนไลน์จริง ควรเตรียมการและซักซ้อมเรื่องการบริหาร “เวลา” ให้ดี เนื่องจากการขายออนไลน์จะมีการซื้อ-ขายกันตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ค้าต้องตั้งรับจุดนี้ให้ได้ เพื่อไม่ให้การค้าขายทำสมดุลชีวิตพัง 

  1. ช่องทางการชำระเงิน ลูกค้าต้องสะดวกที่สุด

ผู้ค้าควรจัดเตรียมช่องทางการชำระเงินให้มีความหลากหลาย เพื่อความสะดวกแก่ลูกค้าเวลาชำระเงิน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเงินปลายทาง, การโอนจ่ายเงินผ่าน e-Banking, การจ่ายผ่านบัตรเครดิต/เดบิต รวมถึงควรระบุค่าธรรมเนียมในการจัดส่งให้ชัดเจนด้วย อีกทั้ง ต้องใส่ใจลูกค้าและรับผิดชอบหากเกิดกรณีผิดพลาด เช่น หากส่งสินค้าผิดหรือสินค้าเสียหาย(จากต้นทางที่ร้าน) อาจรับผิดชอบโดยการโอนเงินคืนให้ลูกค้า หรือเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่ฟรี เป็นต้น

  1. เข้าใจการยื่นภาษีของร้านค้าออนไลน์

ขายของออนไลน์พ่อค้าแม่ค้าก็ต้องยื่นภาษีนะคะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ค้าออนไลน์ที่มีรายได้ทางเดียวจากการขายของออนไลน์ หรือจะทำงานประจำแล้วขายของออนไลน์ควบคู่ไปด้วย ต่างก็ต้องยื่นภาษี 2 แบบ คือ ภ.ง.ด. 94 และ ภ.ง.ด. 90 โดยจะต้องยื่นภาษีตามที่กรมสรรพากรกำหนด 

  1. จัดส่งสินค้าต้องเร็ว ราคาไม่แพง

การจัดส่งสินค้าก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องศึกษาให้ดี ต้องเลือกระบบขนส่งสินค้าที่ส่งของได้เร็ว ง่าย สะดวก มีบริการที่ดี ที่สำคัญคือ ค่าส่งไม่แพง เพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น

 

เคล็ดลับ

ทุกข้อที่กล่าวมาดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับมือใหม่เลยนะคะต้องบอกเลยว่าเมื่อเข้าไปขายจริงๆมีอีกหลายจุดที่ตัวผู้ขายเองต้องคอยแก้ปัญหาตลอดเวลา แต่ใช่ว่าเมื่อขายดีจากร้านมือใหม่กลายเป็นร้านใหญ่มือโปรแล้วปัญหาเหล่านี้จะหมดไปนะคะ ร้านใหญ่ก็เจอปัญหาไม่ต่างกันแต่เคล็ดลับวันนี้ที่ Goship นำมาฝากกันนั้นก็คือ การเอาเทคโนโลยีมาจัดการร้านค้าหรือที่เรียกว่า “ระบบจัดการหลังบ้าน”ค่ะ เพราะไม่ว่าร้านเล็กหรือร้านใหญ่ถ้าไม่มีระบบหลังบ้าน ก็ไม่สามารถจัดการร้านได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งปัญหาที่ตามมาถ้าไม่มีระบบหลังบ้านเลยก็คือ ค่าส่งแพง จัดการเวลาในการส่งสินค้าให้ลูกค้าไม่ได้ ออเดอร์เกิดความผิดพลาดได้ง่ายแต่จัดการกับความผิดพลาดนั้นได้ยาก บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ยาก เช่น ช่องทางการชำระเงินไม่หลากหลาย บริการขนส่งไม่สะดวกกับลูกค้า รอของรอสินค้านาน เป็นต้น ระบบจัดการหลังบ้าน จะเข้ามาดูแลร้านค้าเหมือนเป็นหลังบ้านของร้านค้าจริงๆเลย ถ้าบ้านไม่เป็นระเบียบเราคงอยู่อย่างไปสบายใช่มั้ยหละคะ ประโยชน์ของระบบหลังบ้านเลยก็คือเรื่องควบคุมต้นทุน ช่วยลดต้นทุนค่าส่ง ช่วยให้คุณบริหารต้นทุนสินค้าได้ง่ายขึ้น ช่วยจัดการสต็อกสินค้า ช่วยลดความผิดพลาดในการจัดการออเดอร์ ช่วยจัดการออเดอร์จากช่องทางการขายหลายๆ ช่องทางให้ง่ายขึ้นเพียงแค่ใช้ระบบหลังบ้าน ข้อดียังมีอีกมากมาย เพียงแค่เราลองเข้าไปศึกษาเรื่องระบบหลังบ้านด้วย ก่อนที่จะเริ่มขายตรงนี้จะทำให้ร้านของคุณเริ่มต้นได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเยอะเลยหละค่ะ และ Goship ก็เป็นระบบหลังบ้านเจ้านึงที่พร้อมจะดูแลร้านของคุณอย่างเต็มที่ ฝาก Goship ด้วยนะคะ อยากให้ไปลองใช้แล้วการขายออนไลน์ของคุณจะเปลี่ยนไป

This site is registered on wpml.org as a development site.